Ads 468x60px

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธี Install Java, Sun WebServer, Glassfish AppServer บน Solaris 10

วิธี Install Java, Sun WebServer, Glassfish AppServer บน Solaris 10

สิ่งที่ต้อง Install
  1. Sun WebServer 6.1
  2. Glassfish AppServer 2.1.1 สำหรับ Glassfish จะหา download ยากหน่อยต้องไปเอาจาก glassfish community แทนเพราะ web ของ Sun/Oracle เปลี่ยนเป็น version 3 หมดแล้ว
Install JDK
จาก Image ของ solaris 10 ที่ download มาจาก Web ของ Sun เป็น Image ของ VirtualBox ซึ่ง Image ตัวนี้มี JDK 1.5 อยู่แล้ว ดังนั้นก็เลยไม่ต้องลงเพิ่ม
แต่ถ้าจะลงก็ check ก่อนว่าใน /usr ก่อนปกติจะมีอยู่แล้วในนี้ ซึ่งอ้างอิงจาก Image ของ Solaris ตัวนี้จะมีทั้ง 1.4 และ 1.5 ถ้าลงเพิ่มก็แตก file ของ JDK ที่โหลดมาลงใน /usr แล้วทำ link ไปก็พอ
Install Sun WebServer
ทำตามขั้นตอนตามนี้ได้เลย โดยที่ package ที่เอามาเป็น ใช้เป็น package แบบ .gz ตอน download สามารถเลือกได้ว่าเอา package แบบไหน แต่ปกติแล้วถนัดแบบ .gz มากกว่า
  1. login เป็น root
  2. unzip ออกด้วย gunzip ไปไว้ใน /tmp ก็ได้
  3. run ./setup จาก directory ที่แตกออกมา ทำตามขั้นตอนใน wizard
  4. เลือก directory ที่จะ Install นิยมเอาไว้ใน /opt/SUNWwbsvr [default]
  5. เลือก package ที่จะลงเลือกเป็น Server Core เพราะมี JDK อยู่แล้ว
  6. กำหนด Server/Domain Name
  7. กำหนด user/group ที่จะใช้ run process webserver โดย default เป็น webservd
  8. กำหนด Admin port default เป็น 8888
  9. กำหนด Web server port default เป็น 80
  10. กำหนด Document Root default อยู่ที่ server_root/docs เช่น /opt/SUNWwbsvr/httpd-sol10/docs (sol10 เป็นชื่อ Domain ที่กำหนด)
  11. กำหนดให้ start ตอนเปิดเครื่อง โดยจะไป write config ที่อยู่ใน /etc/rc.d/rc3.d/S75webserver01 หรือ rc5.d
  12. กำหนด JDK path ให้ใส่เป็น full path
  13. ใช้คำสั่ง ./start ใน /opt/SUNWwbsvr เพื่อ start web server ถ้า start ได้ใช้ web browser เปิดดูที่ port 80 และ port 8888 เพื่อ check ว่าสามารถใช้งานได้
Install Glassfish AppServer
ทำตามขั้นตอนโดย package ที่เอามาลงเป็นแบบ .jar สามารถเลือกตอน download ได้เหมือนกับ WebServer

  1. login เป็น root
  2. ใช้คำสั่ง java -Xmx256m -jar file_install.jar (install file เอาไว้ใน /tmp ก่อนก็ได้) *** ถ้ามีปัญหาลองใช้ -Xmx512m แทนอาจจะเกิดจาก memory ไม่พอ
  3. จะได้ directry glassfish ออกมา ย้ายไปใน directory ที่ต้องการ เช่น /opt/glassfish ก็ได้
  4. ย้ายไปที่ directory แล้วใช้คำสั่ง chmod -R +x lib/ant/bin เพื่อให้ file binary สามารถ execute ได้
  5. กำหนด JAVA_HOME ใน environment variable ใช้คำสั่ง JAVA_HOME=dir และ export JAVA_HOME โดยต้องกำหนดเป็น full path
  6. ใช้คำสั่ง lib/ant/bin/ant -f setup.xml จาก /opt/glassfish
  7. ทำตาม Wizard ไปเรื่อย ๆ มีให้กำหนด password / master password
ทดสอบการใช้งานโดย
  1. ให้ลอง create-domain
  2. ใช้คำสั่ง /opt/glassfish/bin/asadmin
  3. asadmin> create-domain –adminport 8001 (เปลี่ยนถ้าจะใช้ admin port อื่น) –adminuser admin domain1 (เปลี่ยนชื่อ domain ได้)
  4. file ต่าง ๆ ของ domain ที่ create ขึ้นมาจะอยู่ที่ /var/appserver/domains/[ชื่อ domain]
ถ้า create domain สำเร็จให้ลอง start domain ที่ create ขึ้นมา
  • asadmin> start-domain domain1
Note :

  • default password คือ adminadmin
  • default master password คือ changeit
  • default port ของ app server คือ 8080
  • port สำหรับ admin domain ใช้ port ที่กำหนดมาตอนสร้างในที่นี้ใช้ 8001
ลอง browse ไปที่ port 8080 สำหรับ App และ 8001 สำหรับ Admin (มีหน้า login ให้กรอก user/password)
ตอนที่ลองครั้งแรก create-domain ผ่านแต่ไม่สามารถ start-domain ได้ ดูจาก log แล้วก็งง ๆ เลยลอง start อีกครั้งก็สามารถ start ได้ และเนื่องจากลองด้วย VirtualBox ซึ่งแบ่ง Ram ไว้แค่ 700 MB ทำให้รอนานมากกว่าจะ start process/domain ได้

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Cluster Computing System

การเชื่อมต่อระบบการทำงานของกลุ่มคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันภายใต้ระบบเครือ ข่ายความเร็วสูง มีความสามารถอาจเทียบเท่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์หรือสูงกว่า สำหรับการประมวลผลงานที่มีความซับซ้อนโดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์
หน้าที่ 1 - การใช้งานระบบ Cluster Computing
ระบบคลัสเตอร์ หรือคลัสเตอริ่ง เป็นการเชื่อมต่อระบบการทำงานของกลุ่มคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันภายใต้ระบบ เครือข่ายความเร็วสูง มีความสามารถในการกระจายงานที่ทำไปยังเครื่อง ภายในระบบเพื่อให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยอาจเทียบเท่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์หรือสูงกว่าสำหรับการประมวลผลงานที่มี ความซับซ้อนโดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การจำลองโครงสร้างของโมเลกุลทางเคมี, การวิเคราะห์เกี่ยวกับตำแหน่งการเกิดพายุสุริยะ, การวิเคราะห์ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ เป็นต้น ถ้าดูตามโครงสร้างแล้ว ระบบคลัสเตอร์ คือคอมพิวเตอร์แบบขนานที่มีหน่วยจำแยกนั่นเอง


โครงสร้างของระบบคลัสเตอร์ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

ระบบคลัสเตอร์แบบปิด คลัสเตอร์จะต่อผ่านเกตเวย์ที่ซ่อนทั้งระบบจากโลกภายนอก
ข้อดี คือ มีความปลอดภัยสูงและใช้อินเตอร์เน็ตแอดเดรสเพียงแอดเดรสเดียวเท่านั้น
ข้อเสีย คือ แต่ละโหนดในระบบไม่สามารถช่วยกันบริหารข้อมูลจากภายนอกได้

ระบบคลัสเตอร์แบบเปิด คลัสเตอร์จะต่อกับเน็ทเวิร์คภายนอกโดยตรงทำให้ผู้ใช้เข้าถึงทุกโหนดในระบบได้โดยตรง
ข้อดี คือ สามารถช่วยกันบริการข้อมูลได้ เหมาะกับงานบริการข่าวสารเป็นจำนวนมาก เช่น ในระบบเซิร์ฟเวอร์สำหรับ www หรือ ftp ที่ขยายตัวได้
ข้อเสีย คือ ความปลอดภัยต่ำลงมากเพราะต้องคอยดูแลทุกเครื่องในระบบ และยังต้องการหมายเลขอินเตอร์เน็ทแอดเดรสจำนวนมาก

2894


คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบคลัสเตอร์จะถูกเรียกว่า “โหนด (Node)” อาจ จะมีโหนดที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของโหนดอื่น ๆ ในระบบอีกชั้น เรียกว่า “Front-end Node” ส่วนโหนดอื่นจะทำหน้าที่ประมวลผลเป็นหลัก เรียกว่า “Compute Node” แต่ละโหนดจะสร้างระบบที่เสมือนเป็นเครื่องเดียว โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การใช้งานระบบ Network Information System (NIS) เพื่อให้ผู้ใช้ (User) สามารถใช้งานร่วมกันได้ทุกโหนด ทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอิน (Login) เพื่อใช้งานในโหนดใด ๆ ภายใต้ระบบคลัสเตอร์เดียวกัน นอกจากนั้นภายในระบบคลัสเตอร์อาจจะมีการใช้งานซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เพื่อการติดตั้งใช้งาน, การจัดลำดับงานที่ทำในระบบ, การดูแลบริหารระบบ และซอฟต์เพื่อการประมวลผลแบบขนาน (Parallel Computing)

2895

2896


การติดตั้งระบบคลัสเตอร์ (Installation Clustering System)

เมื่อเตรียมอุปกรณ์ที่จะนำมาทำคลัสเตอร์ (เครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง, ระบบเครือข่ายความเร็วสูง) จากนั้นเตรียมซอฟแวร์ในระบบคลัสเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการ (Linux, Solaris, BSD) ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ลินุกซ์ (Linux) โดยลินุกซ์นั้นมีหลาย Distribution เช่น RedHat, Debian, Turbo Linux, Slackware เป็นต้น ระบบซอฟแวร์ที่ใช้ในระบบคลัสเตอร์ควรเป็นโปรแกรมแบบขนาน การโปรแกรมแบบขนานบนระบบคลัสเตอร์นั้นจะใช้วิธีการที่เรียกว่า การโปรแกรมแบบส่งผ่านข้อความ (Message Passing) การโปรแกรมในลักษณะนี้ทำได้โดย การกระจายงานขนาดใหญ่ไปยังหลาย ๆ เครื่องให้ทำงานพร้อมกัน และใช้การแลกเปลี่ยนข่าวสารผ่านเครือข่ายในการติดต่อระหว่างกลุ่มของโปรแกรม ที่ช่วยกันทำงาน ระบบโปรแกรมแบบขนานที่ใช้งานเป็นมาตรฐานมีอยู่สองระบบคือ ระบบ PVM เป็นระบบที่มีมาก่อน โดยเป็นงานของ Oak Rige National Laboratory และ University of Tennessee at Knoxville และในราวปี ค.ศ. 1994 ได้มีมาตรฐานใหม่เกิดขึ้น คือ MPI ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง และจะมาแทนที่ PVM ด้วย
โปรแกรม Utility และ Library ต่าง ๆ โปรแกรมเหล่านี้บ้างก็ช่วยให้บริหารระบบได้ดีขึ้น เช่น Library Math บางตัวที่ทำงานแบบขนานได้ เช่น Scalapack, PetSc เป็นต้น หรือ โปรแกรมสำหรับ Graphic Rendering โปรแกรมนี้มีทั้งในระบบลินุกซ์ และวินโดว์ ซึ่งสามารถทำงานแบบขนานได้โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากช่วยกันเรนเดอร์ (Render)

หน้าที่ 2 - เมื่อเปรียบเทียบ ระบบ Cluster Computing กับระบบอื่น ๆ
ข้อแตกต่างของระบบ Cluster Computing เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น ๆ

ระบบ Cluster Computing กับ ระบบ Lan (Local Area Networking)
ระบบ Cluster Computing มีส่วนสำคัญ 3 อย่างคือ เครือข่ายความเร็วสูง ระบบซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนระบบคลัสเตอร์ และโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ขีดความสามารถของการประมวลผลแบบขนานหรือแบบกระจาย ส่วนระบบ Lan เครื่องทุกเครื่องที่อยู่บนระบบ LAN เป็นอิสระต่อกันไม่มีระบบซอฟต์แวร์ที่นำความสามารถของการประมวลผลแบบขนานและ แบบกระจายมาใช้ แต่

ระบบ Cluster Computing กับ ระบบ Grid (Grid Computing)

ระบบ Cluster Computing เป็นการเชื่อมต่อเพื่อเพิ่มสมรรถนะของการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ มีแพลตฟอร์ม (Platform) เดียวกันอยู่ในพื้นที่จำกัด ส่วน Grid Computing นั้นจะเชื่อมต่อได้ทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าแต่ละแพลตฟอร์มจะห่างไกลกันเท่าไร

ระบบ Cluster Computing กับ ระบบโหลดบาลานซ์ (Load balancing)

ระบบ Cluster Computing มีการจัดกลุ่มของคอมพิวเตอร์หลายตัวเพื่อให้สามารถทำงานได้เหมือนกับเป็น คอมพิวเตอร์ตัวเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่า ผู้ใช้เข้ามาใช้งานเครื่องใดภายในกลุ่มก็จะรู้สึกเหมือนใช้งานเครื่องเดียว กัน คุณสมบัติของการทำ Clustering คือการทำรีพลิเคท(Replication) โดยในแง่ของ Web Application คือการทำ Session Replication ซึ่งตามปกติแล้ว Session ของผู้ใช้เก็บใน Web Server เครื่องที่ผู้ใช้ใช้งานอยู่เท่านั้นแต่การทำ Clustering จะเป็นการคัดลอก Replicate Session นั้นไปยัง Web Server อื่นภายในกลุ่มด้วย ทำให้ไม่ว่าผู้ใช้จะเข้าไปใช้งานใน Server เครื่องใดก็จะมี Session ของผู้ใช้อยู่ด้วยเสมอ ส่วน Load Balancing คือการจัดกลุ่มของคอมพิวเตอร์หลายตัวเพื่อแบ่งงานกัน หรือกระจาย Load การใช้งานของผู้ใช้ไปยังคอมพิวเตอร์ภายในกลุ่ม เพื่อให้สามารถรับจำนวนผู้ใช้ที่เข้ามาใช้งานได้มากขึ้น หรือสามารถรับงานที่เข้ามาได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติของ Fail Over คือหากมีคอมพิวเตอร์ใดภายในกลุ่มมีปัญหาไม่สามารถทำงานได้ ตัว Load Balancer ที่เป็นตัวแจก Load ให้คอมพิวเตอร์ภายในกลุ่มก็จะส่ง Load ไปยังเครื่องอื่นแทน จนกว่าเครื่องนั้นจะกลับมาใช้งานได้ดังเดิม การทำงานของ Load Balancer มี 3 ลักษณะด้วยกัน คือ

1. Round-Robin เป็นการส่ง Traffic ไปยัง Server ภายในกลุ่มวนไปเรื่อย ๆ
2. Sticky เป็นการส่ง Traffic โดยยึดติดกับ Session ที่ผู้ใช้เคยเข้าไปใช้งาน เช่น ถ้าผู้ใช้เคยเข้าไปใช้ใน Server ที่ 1 ภายในกลุ่ม Traffic ของผู้ใช้คนนั้นจะถูกส่งไปยัง Server 1 เท่านั้น
3. vWork Load เป็นการส่ง Traffic โดยดูที่ Performance ของ Server ภายในกลุ่มเป็นสำคัญ เช่นหาก Server 1 มีงานมากกว่า Server 2 ตัว Load Balancer จะส่ง Traffic ไปยัง Server 2
การทำ Cluster Load Balance คือการผสมผสานการทำงานทั้งสองลักษณะเข้าด้วยกัน หากเลือกใช้การทำงานแบบนี้แล้ว การใช้ Load Balance แบบ Sticky ก็จะไม่มีความหมาย เนื่องจากทุก Server ภายในกลุ่มเป็น Cluster อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะส่ง Traffic ไปให้เครื่องเดิมอีก ควรทำ Load Balance แบบ Round-Robin หรือ Work Load แทน Load Balance และ Cluster เป็น Design Pattern ที่ช่วยให้ System Archtect สามารถออกแบบระบบได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

การทำ Cluster ไม่จำเป็นต้องพึ่ง Feature ของ Server เป็นหลัก แต่สามารถ Develop ตัว Application ให้เป็น Cluster ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Feature ของ Server เช่น การใช้หลักการของ File Sharing หรือ Database สามารถทำงานได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับการทำ Load Balance ไม่ต้องหา Hardware หรือ Software พิเศษที่จะทำหน้าที่เป็น Load Balancer แต่เขียน Application เพื่อทำการกระจาย Traffic ไปยัง Server ได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการของ Redirection เป็นต้น

การประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing)

Parallel processing คือ การแบ่งงานออกเป็นชิ้นเล็กให้แต่ละงานแก่ตัวประมวลผลหลาย ๆ ตัวในเวลาพร้อมกัน ประโยชน์ของการใช้วิธีการนี้ คือ แก้ปัญหาขนาดใหญ่ได้ ในเวลาที่เร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถใช้เครื่องพีซี โดยเชื่อมต่อกันเป็นระบบคลัสเตอร์ แทนการใช้เครื่องเมนเฟรม หรือ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์

2897



.

หน้าที่ 3 - งานวิจัยเทคโนโลยีคลัสเตอร์คอมพิวติ้ง
งานวิจัยเทคโนโลยีคลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Cluster Computing and Grid Technology)

ทำการวิจัยคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องต่อเชื่อมกัน และแต่ละเครื่องอาจมีมากกว่า 1 หน่วยประมวลผล (CPU) โดยสามารถจัดสรรให้ใช้กับ CPU, ROM, RAM ร่วมกันได้ ทำให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและง่ายต่อการขยาย เพื่อการใช้ทรัพยากรการคำนวณและเข้าถึงข้อมูล ที่อยู่กระจัดกระจาย อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์

ผลงานที่ผ่านมา
- โครงการสร้างซอฟต์แวร์เพื่อมาบริหารระบบคลัสเตอร์ (Cluster In Computing)
- โครงการคู่มือการสร้างและจัดการระบบคลัสเตอร์
- โครงการพัฒนาระบบการติดต่อสื่อสารภายในระบบคลัสเตอร์
- โครงการสร้างระบบคลัสเตอร์ที่สามารถเก็บข้อมูลขนาด 1 เทอราไบท์
- โครงการพัฒนาโปรแกรมที่มีการประมวลผลแบบขนาน
- Peterpan : ระบบเข้าถึงข้อมูล และการกระจายการคำนวณแบบ Web Services บน Grid

สรุป

Custer Computing คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องต่อเชื่อมกัน และแต่ละเครื่องอาจมีมากกว่า 1 หน่วยประมวลผล (CPU) โดยสามารถจัดสรรให้ใช้กับ CPU, ROM, RAM ร่วมกันได้ ทำให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและง่ายต่อการขยาย เพื่อการใช้ทรัพยากรการคำนวณและเข้าถึงข้อมูล ที่อยู่กระจัดกระจาย อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์

ปัจจุบันมีการแข่งขันเพื่อนำเทคโนโลยีใหม่เข้าสู่ตลาดรุนแรงขึ้น เพื่อให้สินค้าสามารถขายได้ จึงต้องเพิ่มคุณสมบัติเข้าไปในระบบของตนเพื่อความได้เปรียบ เช่น การใส่ Feature การทำ Load Balance รวมเข้ากับการทำ Clustering เข้าไปในสินค้าของตัวเอง ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) มีความสามารถสูงขึ้นไม่ต่างจากเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เมื่อเทียบระหว่างราคากับประสิทธิภาพที่ได้รับส่งผลให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น มากในราคาที่เท่าเดิม ดังนั้นการเชื่อมระบบพีซีเข้าด้วยกันเพื่อทำงานเป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จึง สามารถทำได้เรียกว่า “Beowulf Cluster”

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่พบเมื่อใช้ระบบราคาแพง คือ ค่าบำรุงรักษาที่สูงมาก ส่วนระบบ PC เป็นเทคโนโลยีที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ทำให้สามารถบำรุงรักษาระบบได้ง่ายกว่า นอกจากนั้น เมื่อเทคโนโลยีนั้นเก่า หรือ ช้าไปแล้ว การหาทุนเพิ่มระบบจะเป็นไปได้ยาก ในขณะที่ในระบบ PC Cluster การเพิ่มความสามารถทำได้ทีละน้อยในราคาที่ถูกกว่า นอกจากนั้นเครื่องที่นำออกจากระบบยังเอาไปใช้ต่อได้ รวมถึงความก้าวหน้าของ Software เช่น ลินุกซ์ (Linux) ที่เป็นระบบปฏิบัติการฟรี (Open Source) ที่มีประสิทธิภาพสูง, ระบบโปแกรมแบบขนาน MPI (Message Passing Interface) และ PVM (Parallel Virtual Machine) ทำให้สามารถสร้างและใช้ขีดความสามารถของระบบคลัสเตอร์ได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
2898


หน้าที่ 4 - ผู้เขียน
นายฆอซาลี หีมสุหรี
นางสาวภาราดา โตอุรวงศ์
นางสาวชญาน์ภักดิ์ สุพรรณ์

รุ่น MIT 9

นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ)
สำนักวิชาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สรุป LAP,TCP/TC

สรุป LAP,TCP/TC

คำสั่ง Ping
คำ สั่งที่ใช้ในการทดสอบสถานการณ์เชื่อมต่อระบบเครือข่ายว่าขณะนั้นคุณสามารถ เชื่อมต่อกับเป้าหมายปลายทางได้หรือไม่ คำว่า “ เป้าหมายปลายทาง “ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่สามารถกำหนดหมายเลข IP Address ได้ , ชื่อของเครื่องหรืออุปกรณ์ในระบบเครือข่าย , ชื่อของเว็บไซต์ เป็นต้น รูปแบบของคำสั่งใช้งานได้ตามตัวอย่าง คือ ตัวอย่างที่ 1 Ping 10.20.1.118 or Ping http://www.google.com/

คำสั่ง ifconfig :
แสดง ข้อมูลเกี่ยวกับ Network interface และแสดง ip ต่าง ๆ ที่มีการเพิ่มเข้าไปใน serverTCP/IP: TCP ย่อมาจาก Transmission Control Protocol เป็นโพรโตคอลที่คำสั่ง

tracert คำสั่งที่ใช้ในการดูเส้นทางการเดินของข้อมูลระหว่าง hop ต่างๆ ตั้งแต่ต้นทาง ไปถึงปลายทาง สรุปคือ คำสั่ง Tracert เป็นคำสั่งที่จะช่วยให้เราสามารถดูรายละเอียดเส้นทางการเชื่อมต่อของ Router ไปยังจุดหมายปลายทาง โดยใช้คำสั่ง Tracert เพื่อประเมินว่า Router หรือการเชื่อมต่อบนเส้นทางที่ทอดสู่คอมพิวเตอร์ปลายทางนั้น เกิดปัญหาติดขัดหรือไม่คำสั่ง

Netstat เป็น คำสั่งพื้นฐานของ window ที่ใช้แสดงการเชื่อมต่อจากที่ต่างๆออกมาทั้งหมดออกมาไม่ว่าจะมาจาก protocol TCP, UDP, ICMP และอื่นๆ รวมไปถึงหมายเลข Port และ IP ของผู้ติดต่อ ออกมาให้เราดูเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบการเชื่อมต่อของเครื่องของ เราลักษณะการใช้งาน

1. Start > Run

2. พิมพ์คำสั่งคำว่า cmd ลงไปแล้วกด OK

3. จะได้หน้าจอ Command Prompt ออกมา

4. ให้เราทดลองพิมพ์คำสั่งคำว่า netstat ลงไปแล้วจะได้ผลลัพธ์อย่างภาพซึ่งในแต่ละเครื่องState คือ สถานะของการเชื่อมต่อของ netstat นั้นๆจะมีอยู่ด้วยกัน 4 สถานะหลักๆได้แก่1. Established เป็นสถานะที่บอกว่าเครื่องนั้นๆได้เกิดการเชื่อมต่อกับ IP address ปลายทางด้วย portหมายเลขนั้นแล้ว ซึ่งสถานะนี้เป็นสถานะที่เกิดได้ทั่วไปเพราะการเชื่อมต่อใน internet นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาอยู่แล้วแต่ถึงอย่างไรก็ตามเราควรตรวจสอบให้ดีเพราะ มีบาง port ที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะมีการเชื่อมต่ออยู่เช่น port 23 ซึ่งเป็น port ของ telnet

2. Time_wait คือสถานะที่รอการเชื่อมต่อกลับมาอยู่หรือถ้าเราจะมองในแง่ร้ายสุดๆก็คือโดน scan portอยู่

3. Listening คือยังไม่มีเครื่องใดติดต่อมาหรือว่ากำลังรอการเชื่อมต่ออยู่นั้นเอง

4. Close_wait คือปิดการเชื่อมต่อปกติจะไม่พบมากสำหรับสถานะนี้และสถานะอื่นๆที่อาจพบได้แก่ SYN_SENT , FIN_WAIT

Networking Animation

Networking Animation

1.no network - คือการส่งข้อมูลแบบง่ายมีเพียงuser computer และ printer เท่านั้นโดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล แบบมือต่อมือ ไม่มีการเชื่อมต่อสู่internet

2. Hub - คอมพิวเตอร์ที่เป็นตัวส่งข้อมูลจะระบุแอสแดรสของเครื่องที่รับข้อมูล แล้วส่งผ่าน Hub เป็นตัวกระจายข้อมูล Hub จะส่งข้อมูลไปยังผู้รับคนอื่นด้วยโดยที่แอดเดรสตรงกับเครื่องไหนก็จะรับ ข้อมูลแล้วจัดเก็บ ส่วนแอดเดรสไม่ตรงกับเครื่องก็จะ Delete ทิ้ง

3. Swicth - เป็นการอาศัยทั้ง Address และ Port Number ในการส่งข้อมูล โดยการส่งข้อมูลจะสำเร็จก็ต่อเมื่อมีPort Number และ Addressที่ตรงกันเท่านั้น

4.Swicth Network With No Server - ภาพ เคลื่อนไหวนี้แสดงส่วนหนึ่งของคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายโดยสวิทซ์ โดยผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้มากยิ่งขึ้น แต่เครือข่ายทั้งหมดนี้ไม่มีแม่ข่ายทำให้ไม่สามารถเก็บรักษาข้อมูลได้

5.Swicth Network With Server - เมื่อส่งข้อมูลใฟ้แก่ User โดยผ่าน Server แล้ว Server ก็จะส่งไปให้ผู้รับแต่ละเครื่องตาม Address และเมื่อเราเลิกใช้แล้ว และเรากลับมาใช้อีกครั้ง Server ก็จะยังส่งข้อมูลให้เราและเปิดได้

6.Adding Switch - เป็นการส่งข้อมูลหลายๆ ข้อมูลในหลาย ๆ ด้านโดยใช้ Swicth , Server และ Printer เป็นตัวเชื่อมจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ

7.ARP - คือการอาศัย MAC Address และ IP Address ในการส่งข้อมูล โดยอาศัย Router ในการหา IP และ MAC

8. ARp with Multiple Networks - จะใช้ Router ในการส่งข้อมูลข้าม LAN นะหว่าง LAN1 กับ LAN2 โดยผ่าน Router

9. DHCP - เป็นการส่งข้อมูลโดยคอมพิวเตอร์ที่ส่งไปให้กับUser คนอื่น ๆ และยังส่งไปให้กับ DHCP server โดยผ่าน Relay agentส่งไปยัง DHCP server แล้ว DHCP server จะค้นหา IP Address แล้วส่งกลับคืนยังเครื่องผู้ส่ง

10. Router and Forwording - ส่งข้อมูลโดยอาศัย Router หลายตัว โดย Router จะมี IP ของเครื่องต่าวในช่วงระยะที่จำกัด แล้วหา IP ระหว่างนั้นแล้วก็ส่งไปตาม IP นั้นๆเป็นลำดับ

11. IP Subnets - การส่งข้อมูล โดยเครื่องส่งจะส่งไปให้ยังเครื่องที่ต้องการรับโดยผ่าน swicth แล้วเครื่องที่ได้รับจะส่งข้อมูลไปยังเครื่องรับอีกกลุ่มหนึ่ง โดยผ่านทาง Router ไปยังเครื่องที่ต้องการส่ง

12 TCP Connections - ส่งข้อมูลโดยเครื่องที่ส่งจะระบุ TCP ที่ชื่อว่า SYN พร้อม IP ไปยังเครื่อง Server โดยผ่าน Router ต่าง ๆ แล้วเมื่อ server ได้รับก็จะส่ง TCP ที่ชื่อว่า SYN+ACK พร้อม IP กลับไปยังเครื่องนั้นจะส่ง TCP ที่ชื่อว่า ACK กลับไปยัง server

13. TCP Multiplexing - เครื่องที่ต้องการส่งจะต้องระบุ Destination Port (Http) และ Sort Port และต้องระบุ Destination Port (ftp) และ Sort Port และ Destination IP และ Source IP เช่นกัน แล้วจะส่งไปยัง server แล้ว server จะตรวจสอบ Http หรือ ftp แล้วจะส่งกลับ

14. TCP Buffering and Sequencing - การส่งข้อมูลทีละน้อยโดยอาศัย Sequencing ในการส่งและรับจนกว่าจะครบตามความไวของ Internet

15. User Datagram Protocol(UDP) - จะต้องระบุ Distination port (tftp) และ sort port(tftp client) ใน UDP Header และใส่ Distnation port และ Sort port ของ Vioce over IP ด้วยการส่งผ่าน Router หลาย ๆ ตัวและ server จะตรวจสอบ และเครื่องที่ส่งเรื่อย ๆ เมื่อ server ทำหยุดการทำงานข้อมูลที่ส่งไปก็จะถูกลบทิ้งและไม่สามารถจัดเก็บได้

16. IP Fragmentation - เมื่อส่งจะระบุ Ident , Flag , offset โดยจะส่งไปทีละส่วน ไปยังเครื่อง server โดย MTU ต้องอยู่ระหว่าง 576 - 1500 byte นอกเหนือจากนี้จะถูกลบทิ้ง

17. Swicth Congesion - แล้วจะส่งไปเป็นลำดับและระยะห่างที่เท่ากันโดยอาศัย Buffer เป็นตัวแบ่งในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการส่งเกิน Buffer ข้อมูลก็จะถูกทำลายทันที

18. TCP Flow Control - ใช้ Buffer ในการส่งโดยมีความไวระหว่าง 2000 byte ในการส่งทีละไม่เกิน 2000 byte

19. Internet Access - เมื่อผู้ใช้ใช้ Internet และการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน และเมื่อเราใช้ Internet ในการเข้า Website เครื่องก็จะส่งไปยัง Server ของ web นั้นโดยผ่าน Router หลายตัวแล้ว server นั้นจะส่งสัญญาณกลับมายังเครื่องและจะปรากฏปัญหา หรือหน้าเว็บ

20. Email Protocols - จะต้องระบุ E - mail Address ของผู้รับในการส่งแล้วจะส่งไปยัง server แล้ว server จะส่งไปให้ผู้รับในเวลาต่อไป

21. Wireless Network and Multple access with collision avoidance - เป็นการทำงานแบบเป็นกลุ่ม ๆ ในพื่นที่ใกล้เคียงกัน

22. Virtual Private Network - เป็นการทำงานบนเครือข่ายสาธารณะ จะมีการส่งข้อมูลรูปแบบแพ็กเก็ตมาที่เครือข่าย Internet โดยต้องระบุรหัสข้อมูลก่อนส่ง เพื่อความปลอดภัย โดยเข้าไปใน Tunneling เพื่อป้องกันการบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง สามารถอ่านข้อมูลได้ มีเพียงผู้รับเท่านั้นที่สามารถอ่านและนำไปใช้ได้

23. Public Key Encryption - เป็นการเข้ารหัสข้อมูลโดยมีรหัสสองรหัสคือ Public Key และ Private Key เป็นรหัสโดยใช้ Public Key สองรหัสจะต้องคู่กันเสมอ การเข้าข้อมูล จะนำข้อมูลดิบมาเข้ารหัสโดยใช้ Public Key เป็นรหัสลับมาถอดข้อมูลและผู้รับจะใช้ Private Key ถอดรหัส

24. Firewalls - ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่องค์การต่าง ๆ มีไว้เพื่อป้องกันเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรจากอันตรายที่มาจากเครือ ข่ายคอมพิวเตอร์ภายนอก จะให้เฉพาะข้อมูลที่มีลักษณะที่กำหนดไว้ที่จะสามารถเข้าออกระบบเครือข่ายได้

25. Stop and wait ARQ - ผู้ส่งจะส่งข้อมูลชุดแรกไปแล้วรอผลถ้าผู้รับได้รับข้อมูลแล้วไม่ผิดพลาดจะ ตอบว่า ACK พอได้รับคำตอบแล้วว่าถูกต้องก็จะส่งข้อมูลตัวต่อไป แต่ถ้าเจอข้อมูลที่ผิดพลาดก็จะตอบว่า ACK และผู้ส่งก็จะต้องส่งข้อมูลชุดเดิมไปใหม่

26. Go-Back-N ARQ - จะส่งข้อมูลเป็นชุด ชุดละสาม แล้ว Router จะส่ง ACK กลับมาแล้วให้ผู้ส่ง แล้วผู้ส่งจะส่งข้อมูลชุดต่อไป เมื่อเกิน Timout ข้อมูลที่ส่งไปจะถูกทำลายเมื่อตัวแรกส่งไปไม่ได้ก็จะถูกทำลายทั้งชุด Router จะแจ้งผลแล้วผู้รับก็จะส่งข้อมูลมาใหม่

27. Selective Repeat ARQ - เป็นการส่งทีละชุด โดยแต่ละชุดจะมี 3 frame โดยแต่ละ frame ก็จะมีเวลาของแต่ละ frame ทั้ง 3 frame จึงไม่เท่ากัน และจะมีเวลา Timeout ที่ไม่เท่ากัน โดยเมื่อส่ง frame แรกก็ไม่ต้องรอ ACK จาก Router ที่ส่งกลับมาก็สามารถส่ง frame ที่ 2 ได้เลย แต่เมื่อ frame ใดส่งไม่ทันเวลา หรือ Timeout ก็จะถูกทำลาย

28. The OSI Model - เป็นการสื่อสารระหว่าง 2 ระบบ ระบบจะเปิดการติดต่อสื่อสารในเค้าโครงสำหรับออกแบบระบบเครือข่าย จะอนุญาตให้เมื่อสารเข้ามาในรูปแบบของระบบคอมพิวเตอร์แยกเป็น 7 ชั้น

29. Peer-to-Peer(P2P) Computer Network - เป็นเซิร์ฟเวอร์ในเครือข่าย Computer P2P ทุก peers เท่ากับเครื่องใช้คอมพิวเตอร์ในแต่ละหน้าที่ พร้อมกันเป็น ลูกค้าและเซริฟเวอร์

30. Ad-Hoc Network - เป็นเครือข่ายไร้สายที่ไม่ต้องการจุดการเชื่อมในการจัดการการสื่อสารระหว่าง คอมพิวเตอร์ สามารถส่งข้อมูลระหว่างคู่คอมพิวเตอร์อื่น ๆ สามารถทำเหมือน Router ได้

วิธีการเซ็ตค่า Outlook Express

วิธีการเซ็ตค่า Outlook Express
เป็นโปรแกรมในการเซ็ค email โดยทำการ download mail จาก Mail Server มาไว้ที่ตัวโปรแกรม Outlook Expressเป็นโปรแกรมที่ติดตั้ง
มาพร้อมระบบปฏิบัติการWindows การ Set Outlook Express เพื่อทำการเซ็ค mail ทำได้ดังนี้

1. เปิดโปรแกรม Outlook Express คลิกเมนูด้านบนแล้วเลือก Tools > Accounts...
            จะมีหน้าต่างดังรูปด้านล่าง ปรากฎขึ้นให้เลือกที่ แทบ Mail ทางด้านบนซ้ายมือให้คลิกที่ปุ่ม Add->Mail เพื่อทำการ สร้าง user ขึ้นมาใหม่            
2. หลังจากคลิกปุ่ม Add->Mail แล้วจะมี่หน้าต่างตามรูปด้านล่างปรากฏขั้น ให้ทำการใส่ชื่อ user ในช่อง Display name ชื่อที่ใส่จะปรากฏในช่อง FROM ของผู้ที่รับอีเมล์ของเรา เสร็จแล้วคลิก Next
3. หน้าต่างต่อไป จะเป็นการใส่ email address ของเราลงไปในช่อง E-mail address เสร็จแล้วคลิ๊ก Next
4. หน้าต่างด้านล่างนี้ ค่าของ "My incoming mail server is a ........ server." จะให้ใส่ค่า "POP3" ส่วนค่าของ “Incoming mail” (ใช้สำหรับรับอีเมล์) set ค่าเป็น “mail.yourdomian.com” (yourdomain.com คือชื่อ Domain Name ของคุณ ) และ SMTP server (ใช้สำหรับส่งอีเมล์) set ค่าเป็น “mail.yourdomian.com” (yourdomain.com คือชื่อ Domain Name ของคุณ ) หรือ แล้วแต่ ISP ครับ อย่างเช่นถ้าออนไลน์ด้วย KSC ก็ให้กำหนดเป็น ksc.th.com เป็นต้น
5. หน้าต่อไปเป็นการใส่ Email Address และ Password ของ email ที่ต้องการใช้งานนั้นๆ admin@yourdomain.com หรือ webmaster@yourdomain.com
6. การสร้าง Email Account ใหม่เป็นอันเสร็จสิ้นให้กด Finish
7. ทำการเข้า Outlook Express ใหม่อีกครั้ง คลิกเมนูด้านบนแล้วเลือก Tools > Accounts...
8. จากภาพข้างล่างจะขึ้นหน้าต่าง Internet Accounts เลือก mail และคลิก Account ที่ชื่อ mail.yourdomain.com และคลิก Properties
9. จากนั้นคลิกที่หัวข้อ Server จะขึ้นหน้าตามภาพข้างล่างขึ้นมา จากนั้นทำการคลิกในหัวข้อ Outgoing Mail Server ให้มีสถานะ Active ตามภาพ และคลิกที่ Apply
10. ทดสอบการเซ็ค mail ให้ทำการกดปุ่ม Send/Recv ตามรูปด้านล่าง ถ้าทดสอบแล้วใช้งานได้จะขึ้นหน้าจอปกติของ Outlook Express ขึ้นมา
 

Blogger templates